 
       Thai Version
ท่องไปในคีตะ-คิทาโร
        
 
 
   
ฉับพลันที่ได้ยินเพลงน้ำ 
  คุณกลายเป็นปลาสีเงินกำลังแหวกว่ายทวนสายน้ำในแม่น้ำสีฟ้า 
  เพลงกล่อมลูกหวานเศร้าประหลาด  ดังมาจากเหล่าเรือนไม้ริมฝั่งน้ำ 
  สายควันไฟสีเทาในยามเย็นย่ำ  เอ้อระเหยอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ ท่ามกลางเสียงของนกนานาระเบ็งเซ็งแซ่ 
  เด็กชายคนหนึ่งกำลังทอดท่องอยู่บนทางดินเล็กๆเลียบริมฝั่งน้ำ 
  คุณกู่ร้องเรียกเขา  แน่นอน เขาไม่ได้ยิน 
  (เสียงที่ก้องสะท้อนอย่างเปล่าดายไปเหนือผิวน้ำ) 
  เพราะเขากำลังก้าวเดินอยู่ในความฝัน 
  เขากางสองแขนออกบ่อยๆราวกับนกกำลังกางปีก 
  ฝั่งฟากที่มีแต่พงหญ้าและดงไม้รกครึ้ม 
  ราวกับแขนและมือมากมายได้เอื้อมมายื้อยุดแขนขาของเด็กชายเอาไว้ 
  เด็กชายผู้เฝ้าแต่ฝันใฝ่ถึงโลกภายนอกที่ห่างไกล 
  เขาปรารถนาท่องไปกับเรือใบไม้  เขาอยากก้าวข้ามสะพานเมฆ 
  ยามพลบช่างเหงางาม 
  เด็กชายปีนป่ายขึ้นไปนั่งบนคาคบของฉำฉาโบราณที่ทอดกิ่งก้านอยู่เหนือสายน้ำสีน้ำเงินเข้ม 
  เฝ้ารอคอยสุนทรภู่ที่อาจท่องเรือกระแชงผ่านมาทางนี้  เพื่อเรียงร้อยนิราศไม่รู้จบ 
  แว่วเสียงแม่กู่ร้องเรียกหา 
  คุณโผขึ้นเหนือผิวน้ำ  เกล็ดสีเงินกระทบแสงสีทองของดวงจันทร์ที่เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าตะวันออก. 
ฉับพลันที่ได้ยินเพลงภูเขา 
  คุณกลายเป็นแพะที่กำลังหลงทางอยู่ใต้แสงดาว 
  ท่ามกลางผืนทรายระอุอุ่นกว้างไกล 
  ภายในโอบล้อมของรั้วลวดหนาม  คุณมองเห็นทหารหนุ่มผู้หนึ่งยืนเข้าเวรอยู่ที่หน้าป้อมยามรักษาการณ์ 
  คุณกู่ร้องเรียกเขา  แน่นอน เขาไม่ได้ยิน 
  (เสียงที่ก้องสะท้อนอย่างเปล่าดายอยู่ในโอบล้อมของภูเขา) 
  เพราะเขากำลังตกอยู่ในภวังค์ของความใฝ่ฝัน 
  เขาติดดาบเข้ากับปลายกระบอกปืนเอ็มสิบหก 
  ก่อนจรดมันลงไปยังผืนทรายเบื้องพื้น 
  อาศัยแสงดาวนำทาง  เหล่าถ้อยคำก็พรั่งพรูไม่รู้จบ 
  เขาเขียนไปพลาง ถอยหลังไปพลาง 
  หยุดยืนครุ่นคิด  พยักหน้า พึงพอใจ 
  กลบลบด้วยรองเท้าเทอะทะ  ทิ่มแทง ร่ำไห้สะทกสะเทือน 
  ค่ำคืนที่อวลอายด้วยสาบสางของสัตว์ป่า 
  เหล่าถ้อยคำไม่รู้จบนำพาเขาถอยหลังเข้าไปสู่กรงเหล็กที่มองไม่เห็น 
  ประตูเหล็กถูกกระแทกปิดโครม 
  คุณเตลิดวิ่งขึ้นไปบนภูเขาแห่งสงคราม. 
ฉับพลันที่ได้ยินเพลงทะเล 
  คุณกลายเป็นแมวพเนจรที่เสาะแสวงหาไปใต้โค้งฟ้าของปีกผีเสื้อสีน้ำเงินลึกลับ 
  แหล่งย่านของเหล่าโรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่เคยหลับใหล 
  แนวแถวของเหล่ากรรมกรชายหญิงผู้ซูบเซียว 
  เสียงคลื่นในท้องทะเลเป็นหนึ่งเดียวกับเสียงร่ำไห้ในห้วงอก 
  คุณเห็นกรรมกรหนุ่มผู้หนึ่งนั่งกอดเข่าเหม่อลอยอยู่บนกองลังสินค้าภายในโกดัง 
  คุณกู่ร้องเรียกเขา  แน่นอน เขาไม่ได้ยิน 
  (เสียงที่ก้องสะท้อนอย่างเปล่าดายไปเหนือท้องทะเลสีน้ำเงิน) 
  เพราะเขากำลังเฝ้าฝันถึงแต่วันพรุ่งนี้ 
  ในขณะที่มีชีวิตอยู่ในวันวาน 
  ฝันว่าบทกวีจะได้รับการตีพิมพ์ในหน้าหนังสือการเมืองรายสัปดาห์ 
  บทกวีที่พูดถึงเด็กชายช่างฝันของเรือนไม้ริมฝั่งน้ำ 
  เด็กชายที่ตายจากไปในเพลงกล่อมหวานเศร้าที่สาบสูญ 
  บทกวีที่เขียนถึงแม่ผู้ทุกข์ยาก  เขียนถึงค่ายทหาร เขียนถึงกรรมกรผู้เมามาย 
  บทกวีที่ยึดโยงชีวิตเบาหวิวของเขาไว้กับโลกใบนี้ 
  เสียงออดสัญญาณเวลาเข้าทำงานดังกรีดกังวาน 
  คุณผละจากไปบนทางลาดยางที่กำลังละลาย. 
ฉับพลันที่ได้ยินเพลงท้องทุ่ง 
  คุณกลายเป็นอีกาที่กำลังบินทวนกระแสลมกลับคืนถิ่นเกิด 
  คุณมองเห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่บนคันนา  กำลังสนทนาอยู่กับหุ่นไล่กาซอมซ่ออย่างออกรส 
  ท่ามกลางแสงตะวันอันจัดจ้า 
  คุณกู่ร้องเรียกเขา  แน่นอน เขาไม่ได้ยิน 
  (เสียงที่ก้องสะท้อนอย่างเปล่าดายไปในท้องทุ่ง) 
  เพราะเขากำลังพูดกับตนเอง 
  หลังคืนกลับจากโลกภายนอก 
  เขาปรารถนาฝังจิตวิญญาณไว้ยังรกรากของผืนแผ่นดินแม่ 
  แต่ทว่าท้องทุ่งได้สาบสูญไปสิ้นแล้ว 
  และแม่น้ำก็ตายจาก 
  บทกวีของเขาย่ำซ้ำอยู่กับรอยเดิมที่ไม่มีจริง 
  แสงแดดจัดจ้ากลายเป็นทุ่งทานตะวัน 
  กลิ่นยาสูบอวลอาย 
  ใบหน้าภายใต้หมวกฟางนั้นหยาบกร้านซูบเซียวและหม่นเศร้า 
  เขาพร่ำพูด หัวเราะ  ร่ำไห้ 
  เขาฉีกหนังสือบทกวีเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนโปรยปรายไปกับสายลม 
  เสียงปืนนัดหนึ่งดังขึ้นกึกก้อง 
  คุณโผผกขึ้นเวิ้งฟ้าพร้อมกับเหล่าบทกวีสีดำจุดเล็กๆ 
เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์